เมนู

ที่ท่านกล่าวไว้ในวาทะของพระจูฬนาคเถระผู้ทรงพระไตรปิฏก และพระมหา-
ทัตตเถระผู้อยู่ ณ โมรวาปีว่า ปฏิสนธิเป็นติเหตุกะบ้าง เป็นทุเหตุกะบ้าง
ย่อมมีได้ด้วยกรรมอันเป็นติเหตุกะ มิใช่เป็นอเหตุกะ ปฏิสนธิเป็นทุเหตุกะบ้าง
เป็นอเหตุกะบ้าง ย่อมมีได้ด้วยกรรมอันเป็นทุเหตุกะมิใช่เป็นติเหตุกะ คำนั้น
ปรากฏคล้ายจะพลาดไปจากบาลีนี้ เพราะกถานี้เป็นอธิการแห่งเหตุ จึงไม่
กล่าวถึงอเหตุกปฏิสนธิ.
จบอรรถกถาคติกถา

มหาวรรค กรรมกถา


ว่าด้วยเรื่องของกรรม


[523] กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมได้มีแล้ว กรรมได้มีแล้ว
วิบากแห่งกรรมไม่ได้มีแล้ว กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมมีอยู่ กรรมได้มี
แล้ว วิบากแห่งกรรมไม่มีอยู่ กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมจักมี กรรม
ได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมจักไม่มี กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมมีอยู่ กรรมมีอยู่
วิบากแห่งกรรมไม่มี กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมจักมี กรรมมีอยู่ วิบากแห่ง
กรรมจักไม่มี กรรมจักมี วิบากแห่งกรรมจักมี กรรมจักมี วิบากแห่งกรรม
จักไม่มี กุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกุศลกรรมได้มีแล้ว กุศลกรรมได้มีแล้ว
วิบากแห่งกุศลกรรมไม่ได้มีแล้ว กุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกุศลกรรมมีอยู่
กุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกุศลกรรมไม่มี กุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่ง
กุศลกรรมจักมี กุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกุศลกรรมจักไม่มี กุศลกรรม
มีอยู่ วิบากแห่งกุศลกรรมมีอยู่ กุศลกรรมมีอยู่ วิบากแห่งกุศลกรรมจักไม่มี

กุศลกรรมมีอยู่ วิบากแห่งกุศลกรรมจักมี กุศลกรรมจักมี วิบากแห่งกุศลกรรม
จักไม่มี อกุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งอกุศลกรรมไม่ได้มีแล้ว อกุศลกรรม
ได้มีแล้ว วิบากแห่งอกุศลกรรมมีอยู่ อกุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งอกุศล-
กรรมไม่มี อกุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งอกุศลกรรมจักมี อกุศลกรรมได้
มีแล้ว วิบากแห่งอกุศลกรรมจักไม่มี อกุศลกรรมมีอยู่ วิบากแห่งอกุศลกรรม
มีอยู่ อกุศลกรรมมีอยู่ วิบากแห่งอกุศลกรรมไม่มี อกุศลกรรมมีอยู่ วิบาก
แห่งอกุศลกรรมจักมี อกุศลกรรมจักมี วิบากแห่งอกุศลกรรมจักมี อกุศลกรรม
จักมี วิบากแห่งอกุศลกรรมจักไม่มี.
[524] กรรมมีโทษได้มีแล้ว ฯลฯ กรรมไม่มีโทษได้มีแล้ว ฯลฯ
กรรมดำได้มีแล้ว ฯลฯ กรรมขาวได้มีแล้ว ฯลฯ กรรมมีสุขเป็นกำไรได้มิแล้ว
ฯลฯ กรรมมีทุกข์เป็นกำไรได้มีแล้ว ฯลฯ กรรมมีสุขเป็นวิบากได้มีแล้ว ฯลฯ
กรรมมีทุกข์เป็นวิบากได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากได้มีแล้ว
กรรมมีทุกข์เป็นวิบากได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากไม่ได้มีแล้ว
กรรมมีทุกข์เป็นวิบากได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากมีอยู่ กรรม
มีทุกข์เป็นวิบากได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากไม่มี กรรมอัน
มีทุกข์เป็นวิบากได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากจักมี กรรมอัน
มีทุกข์เป็นวิบากได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากจักมี กรรมอัน
มีทุกข์เป็นวิบากได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากจักไม่มี กรรมมี
ทุกข์เป็นวิบากมีอยู่ วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากมีอยู่ กรรมมีทุกข์เป็น
วิบากมีอยู่ วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากไม่มี กรรมมีทุกข์เป็นวิบากมีอยู่
วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากจักมี กรรมมีทุกข์เป็นวิบากมีอยู่ วิบากแห่ง
กรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากไม่มี กรรมมีทุกข์เป็นวิบากจักมี วิบากแห่งกรรม
อันมีทุกข์เป็นวิบากจักมี กรรมมีทุกข์เป็นวิบากจักมี วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์
เป็นวิบากจักไม่มี.
จบกรรมกถา

อรรถกถากรรมกถา


บัดนี้ จะพรรณนาตามลำดับความที่ยังมิได้พรรณนาไว้ แห่งกรรมกถา
อันพระสารีบุตรเถระแสดงถึงกรรมอันเป็นปัจจัย แห่งเหตุสัมบัตินั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในกรรมกถานั้น ดังต่อไปนี้. ในบทมีอาทิว่า อโหสิ
กมฺมํ อโหสิ กมฺมวิปาโก
กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมได้มีแล้ว ท่าน
ถือเอาวิบากอันให้ผลในภพอดีต แห่งกรรมที่ทำแล้วในภพอดีตนั่นเอง แล้ว
จึงกล่าวว่า อโหสิ กมฺมํ อโหสิ กมฺมวิปาโก.
ท่านถือเอาวิบากอันไม่ให้ผลในภพอดีต ด้วยความบกพร่องปัจจัยแห่ง
กรรมอดีต อันเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในภพนี้) และเป็น
อุปปัชชเวทนียกรรม (กรรมให้ผลต่อเมื่อเกิดแล้วในภพหน้า) และวิบากอัน
ยังไม่ให้ผลแห่งกรรมอันดับรอบแล้วในอดีตนั่นเอง และอันเป็นทิฏฐธรรม-
เวทนียกรรม อุปปัชชเวทนียกรรม และอปราปริยเวทนียกรรม (กรรมให้ผล
ในภพสืบ ๆ ไป) จึงกล่าวว่า อโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก กรรม
ได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมไม่ได้มีแล้ว.
ท่านถือเอาวิบากอันให้ผลแห่งกรรมอดีต ด้วยความถึงพร้อมแห่งปัจจัย
ในภพปัจจุบัน แห่งวิบากอันยังไม่ให้ผล แล้วจึงกล่าวว่า อโหสิ กมฺมํ อตฺถิ
กมฺมวิปาโก
กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมมีอยู่.
ท่านถือเอาวิบากอันยังไม่ให้ผลแห่งกรรมอดีต อันล่วงเลยกาลแห่ง
วิบากแล้ว เเละของผู้ปรินิพพานในภพปัจจุบันนั่นเอง แล้วจึงกล่าวว่า อโหสิ
กมฺมํ นตฺถิ กมฺมวิปาโก
กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมไม่มีอยู่.